ริ้วรอย
ริ้วรอย คือ เส้นและรอยย่นที่ก่อตัวขึ้นในผิว รอยย่นบางอย่างอาจกลายเป็นรอยแยกหรือร่องลึกเห็นได้ชัดเจนบริเวณรอบดวงตา ปาก และลำคอ ริ้วรอยไม่เพียงแต่เป็นสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดของกระบวนการเสื่อมแก่ของผิว ยังบ่งบอกถึงสุขภาพโดยรวมของคุณได้อีกด้วย
ลักษณะของผิวเสื่อมแก่ (Aged Skin)
- บริเวณรอยต่อที่เชื่อมระหว่างผิวชั้นหนังแท้กับชั้นหนังกำพร้า ที่เรียกว่า Dermal-epidermal junction (DEJ) บางและแบนลง ทำให้ผิวขาดน้ำแห้งกร้าน เกิดริ้วรอยต่างๆ
- การผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกน้อยและช้าลง ส่งผลให้ผิวดูแห้ง และหยาบกระด้างขึ้น อีกทั้งการสมานแผลก็ช้าลงไปด้วย
- ผิวที่ถูกแสงแดด และรังสีมากๆ จะมีลักษณะที่ Collagen ลดน้อยลง Collagen และ Elastin แตก เสียสภาพ
- ลดปริมาณ GAG (glycoaminoglycans) สารต่างๆที่ทำหน้าที่อุ้มน้ำและความชุ่มชื้นของผิว การสัมผัสแสงแดดและรังสีมากๆส่งผลให้ผิวขาดความชุ่มชื้น แห้งกระด้าง ผิวเสื่อม ผิวเสียความยืดหยุ่น และมีการยุบตัว ทำให้หย่อนคล้อย
- เซลสร้างเม็ดสี (Melanocytes) ลดลง 8-20% ทุก 10 ปีของอายุ การสร้างเม็ดสีจะเป็นการช่วยดูดซับการกระตุ้นการก่อมะเร็งจากรังสี UV นั่นหมายความว่า เมื่ออายุยิ่งมากขึ้นความสามารถในการป้องกันตัวเองก็ยิ่งลดลง
- เส้นเลือดหล่อเลี้ยงลดลงเมื่ออายุมากขึ้น ส่งผลให้ผิวได้รับสารอาหารน้อยลง การควบคุมการเปลี่ยนแปลงที่ผิวลดน้อยลง ปัญหาของเส้นเลือดที่อ่อนแอและการสร้างเม็ดสีนำมาซึ่งใบหน้าเกิดจุดด่างดำเมื่อถูกกระตุ้นด้วยแสงแดดได้ง่ายและชัดเจนขึ้น
ริ้วรอยสามารถแบ่งได้ 3 ประเภท คือ
- Static line จะเห็นเป็นริ้วเส้นโดยเฉพาะที่รอบตาหน้าผาก เป็นผลจากทั้งผิวแห้งและมีการสูญเสีย collagen
- Dynamic line จะเห็นผิวหนังมีริ้วรอยเวลามีการเคลื่อนไหว เช่น การยิ้ม การเลิกคิ้ว การยกหน้าผาก ซึ่งเป็นผลจากการเคลื่อนไหวอยู่ซ้ำ ๆ
- Wrinkle fold เป็นผลจากภาวะผิวหนังที่หย่อนคล้อย รวมทั้งชั้นไขมันที่ลดลงเกิดเป็นร่องลึกได้ เช่น ร่องแก้ม
- ชั้นหนังกำพร้าหรือ ชั้น epidermis (ชั้นบนสุด) ประกอบด้วยเซลล์ผิวหนังที่เรียกว่า keratinocyte โดยธรรมชาติเซลล์ผิวหนังจะมีการผลัดเซลล์ผิวหนังทุก 28 วัน ดังนั้น ทำให้ผิวใหม่เกิดขึ้นมาแทนอยู่เสมอ
- ชั้นหนังแท้ ซึ่งเรียกว่า dermis (ชั้นกลาง) ชั้นนี้จะประกอบด้วย ชั้นนี้จะประกอบด้วย collagen ทำให้ผิวหนังมีความแข็งแรง elastin ทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น hyalurulonic acid เป็นสารอุ้มน้ำเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง นอกจากนี้ ก็ยังมีเส้นเลือดเส้นประสาทต่อมเหงื่อขนและต่อมไขมันอยู่ที่ชั้นนี้ด้วย
- ชั้นไขมัน เป็นผิวหนังชั้นสุดท้ายที่อยู่ใต้จากชั้นหนังแท้
อะไร คือ สาเหตุของปัญหาริ้วรอย?
สาเหตุของริ้วรอยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนหลักๆ ได้แก่
1.สาเหตุจากปัจจัยภายใน (Intrinsic Aging)
คือ การเสื่อมสภาพจากการเปลี่ยนแปลงภายใน ตามอายุ ซึ่งเป็นผลจากกรรมพันธุ์ที่ได้รับมาจากพ่อแม่ ซึ่งจะกำหนดโครงสร้างและสภาพผิวคุณ เช่น บางคนได้ยีนส์ดีมาใบหน้าก็อาจจะดูอ่อนกว่าวัย ทั้งที่ไม่ได้ดูแลอะไรมาก นอกจากยีนส์แล้ว ยังขึ้นอยู่กับอนุมูลอิสระ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ความสามารถของร่างกายในการซ่อมแซมเซลล์ผิวอีกด้วย ยิ่งอายุมากขึ้นคุณก็จะเห็นสัญญาณความแก่จากภายในนี้ชัดขึ้น ชั้นผิวหนังก็จะบางลงทั้ง 3 ชั้นโดยเฉพาะชั้นหนังแท้ เนื่องจากเมื่ออายุมากขึ้น หลอดเลือดที่จะส่งสารอาหารให้ผิวหนังก็ลดลง ฮอร์โมนที่สำคัญคือ estrogen ก็น้อยลงทำให้ความสามารถในการสร้าง collagen ก็ลดจำนวนลงด้วย ทั้งนี้ต่อมไขมันก็ลดการสร้างน้ำมันมาเคลือบผิวลงด้วย ทำให้ผิวยิ่งแห้งเห็นเป็นริ้วรอยได้ นอกจากนี้ ชั้นไขมันก็ฝ่อตัวลดลงทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อยปรากฎเป็นร่องลึก
ริ้วรอยไม่ได้ขึ้นอยู่กับ อายุ เพียงอย่างเดียว สิ่งที่ทำให้ผิวคุณดูเด็กกว่าอายุจริงจากปฎิกิริยาภายในร่างกายคุณ ได้แก่
- อนุมูลอิสระจู่โจมโครงสร้างผิว รังสียูวีจากแดด มลพิษทางอากาศ ควันบุหรี่ ความเครียด อาหารไขมันสูง อาหารน้ำตาลสูง ล้วนเป็นปัจจัยก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งอนุมูลอิสระนี้ทำให้เกิดความเครียดออกซิเดชันเปรียบเสมือนระเบิดเล็กๆที่คอยทำร้ายโครงสร้างโปรตีนอย่างคอลลาเจน โครงสร้างไขมันอย่างผนังเซลล์ รวมไปถึงโรงงานผลิตพลังงานให้เซลล์อย่างไมโตคอนเดรีย การทำร้ายซ้ำๆสะสม จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ส่งผลให้ผิวเกิดริ้วรอยดูแก่ก่อนวัย
- ความเสื่อมของโครงสร้างผิวจากปฏิกริยาไกลเคชั่น ความยืดหยุ่นดูฟูมีมิติของผิวนั้น เกิดจากโครงสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินที่หนาแน่นแข็งแรง แต่พบว่าเมื่อเราอายุมากขึ้น จำนวนของคอลลาเจนและอิลาสตินจะลดลง และยังมีการเสื่อมสภาพของโครงสร้างเด้งดึ๋งเหล่านี้ ซึ่งเป็นผลมาจากปฏิกริยาไกลเคชั่น ปฏิกริยาไกลเคชั่นเกิดจากการเข้าเกาะของน้ำตาลกับโครงสร้างผิวอย่างคอลลาเจน ยิ่งมีน้ำตาลเข้าจู่โจมผิวมาก ปฏิกริยาไกลเคชั่นก็ยิ่งเกิดมากขึ้นตามไปด้วย
- การอักเสบ เป็นด่านแรกของการป้องกันผิวจากผู้บุกรุกจากภายนอก เช่นแบคทีเรียและไวรัส การอักเสบจะเป็นการจำกัดความเสียหายและเริ่มการบำบัดเนื้อเยื่อเซลล์ผิวที่เกิดจากสารเคมีและมลพิษในชีวิตประจำวัน หากมีการอักเสบมากหรือเรื้อรังก็อาจทำให้เกิดปัญหาผิวต่างๆและยังเป็นตัวเร่งกระบวนการเกิดริ้วรอยอีกด้วย ซึ่งทั้งอนุมูลอิสระ ไกลเคชั่น และอายุ ก็เป็นปัจจัยเร่งที่ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังหรือมากเกินไปเช่นกัน ส่งผลให้เส้นใยคอลลาเจนเสื่อมสภาพทำให้ผิวไม่กระชับและเรียบเนียน
- เซลล์ผิวและโปรตีนถูกสร้างขึ้นผ่านกระบวนการลำดับดีเอ็นเอ ความบกพร่องทางพันธุกรรมหรือการกลายพันธุ์ที่เกิดในกระบวนการลำดับก็จะส่งผลให้เกิดการเสื่อมสภาพของร่างกายโดยรวม
2.สาเหตุจากปัจจัยภายนอก (Extrinsic Aging)
- รังสียูวี ส่วนใหญ่จะเกิดจากการถูกรังสียูวีจากแสงแดดมีผลทำลายคอลลาเจน รวมทั้งทำให้เกิดอนุมูลอิสระที่มีผลทำลายเซลผิวหนัง โดยเฉพาะ คอลลาเจน และ อีลาสติน และยังสามารถทำลายระบบภูมิคุ้มกันของผิวหนังซึ่ง UVAจะมีความสามารถผ่านลงไปมีผลที่ชั้นหนังแท้ได้มากกว่า UVB ที่จะทำให้เกิดการไหม้แดดได้มากกว่า
- มลพิษทางอากาศ มลพิษจากโอโซนระดับพื้นดินที่ผ่านแสงแดด และทำปฎิกิริยาเคมีจากรถยนต์ รวมถึงสารเคมีในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดในบ้านและอุตสาหรรมฯ มลพิษทางอากาศเป็นหนึ่งในมลพิษที่เราสัมผัสมากที่สุด ทำให้เกิดความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่นที่ผิวในขณะที่การได้รับมลพิษเรื้อรังก็ทำให้สารต้านอนุมูลอิสระลดลงทำให้ผิวทำงานเปลี่ยนแปลงไป
- รังสีอินฟราเรด หรือรังสีความร้อน เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่งที่แผ่มาจากดวงอาทิตย์ ที่ไม่เห็นได้ด้วยตา เมื่อรังสีนี้สัมผัสผิวจะรู้สึกได้ถึงความร้อน ไม่ว่าจะเป็นจากแดด หรือเปลวไฟ นอกจากนี้ในชีวิตประจำวันของเรายังต้องพบเจอกับรังสีอินฟราเรดและสัมผัสกับมันโดยไม่รู้ตัว เช่น ห้องซาวน์น่า คอมพิวเตอร์ หลอดไฟชนิดทังสเตน Gadgets ทั้งหลาย เตาอบ ไดร์เป่าผม ฯลฯ ความร้ายกาจของรังสียูวีอาจทำให้ผิวดำคล้ำ เกิดฝ้า จุดด่างดำ ทำให้ผิวร้อน บวมแดง แต่รังสีอินฟราเรดแรงกว่านั้น เพราะมันทำร้ายชั้นผิวหนังได้ลึกและแทรกซึมเข้าสู่เซลล์ผิวในระดับเซลล์ กระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระ ทำให้คอลลาเจนในชั้นผิวลดลง ผลคือความหย่อนคล้อย ริ้วรอยร่องลึก สูญเสียความยืดหยุ่น
- การสูบบุหรี่ ซึ่งมีผลทำให้เส้นเลือดหดตัว ทำให้การส่งผ่านออกซิเจนลดลงและสารอาหารลดลง รวมทั้งก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ ที่ทำให้มีการทำลาย collagen และ elastin ทั้งนี้ ผลจากการสูบบุหรี่จะมีโอกาสเสี่ยงให้เกิดริ้วรอยได้มากถึง 5 เท่า
- ดูแลผิวไม่ถูกวิธี อาจมีการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีการกระตุ้นทำให้ผิวมีการหลุดลอก เกิดผิวแห้ง และมีริ้วรอยตามมา หรือไวต่อแสง
- การได้รับสารพิษสะสม
- การทำสีหน้าซ้ำ ๆ เช่น การขมวดคิ้ว การเลิกคิ้ว
- การนอนกดทับท่าเดิมเป็นประจำ
- การขาดสารอาหาร โดยเฉพาะสารที่จำเป็นต่อการสร้าง collagen ,elastin
- การนอนดึก ก็มีผลต่อการหลั่งของ growth hormone ที่มีผลต่อความอ่อนเยาว์ของผิว
- ความเครียดเรื้อรัง
- การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
ริ้วรอยบนใบหน้า ดูแลอย่างไร?
การดูแลเพื่อลดการเกิดริ้วรอย ดังนี้
- ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วงเวลา 10.00น-16.00น.
- ใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ โดยเลือกครีมกันแดดที่มีความสามารถปกป้องทั้ง UVA และUVB
- ใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
- ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติที่ลดริ้วรอย
- เลือกเครื่องสำอางให้เหมาะสมกับผิวเพื่อลดโอกาสการระคายเคืองผิวที่จะทำให้ผิวแห้ง
- ไม่สูบบุหรี่
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ไม่ควรนอนท่าเดิมซ้ำๆ ที่จะทำให้ผิวหน้ามีการกดทับ
- ไม่แสดงสีหน้าที่จะกระตุ้นให้เกิดรอยย่นได้มาก
- ควรกำลังกายเป็นประจำ
- ไม่เครียด
- รับประทานอาหารที่กลุ่มวิตามินเอซีอี ซึ่งมีฤทธิ์เป็น antioxidant
- ทานน้ำให้มากอย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวัน
ผลิตภัณฑ์ใดบ้างที่สามารถช่วยป้องกันริ้วรอยได้
ผลิตภัณฑ์กันแดดมี SPF เป็นสิ่งจำเป็นในการป้องกันริ้วรอยจากภายนอกที่เกิดจากการสัมผัสกับแสงแดดและมลภาวะอื่นๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์สำหรับฟื้นบำรุงผิวต่อต้านริ้วรอยจากภายในถือเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยผิวให้ฟื้นฟูจากภายใน
ความเครียดออกซิเดทีฟเป็นสภาวะที่ร่างกายของคุณมีระดับของสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายไม่สูงพอที่จะต่อต้านผลกระทบจากการทำลายของอนุมูลอิสระจากสภาพแวดล้อมที่ระดมทิ้งระเบิดรุกรานผิวคุณตลอดเวลา ผลิตภัณฑ์ที่ต้านอนุมูลอิสระที่ใช้เช่น Phil Bright Auractivator Essence , Phil Camel Milk Serum และ Phil Revital Lip Sleeping Mask ช่วยเพิ่มการสร้างสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปรับปรุงกระบวนการซ่อมแซมดีเอ็นเอตามธรรมชาติให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและการต่อสู้กับกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเสื่อมสภาพผิวเพื่อปกป้องเซลล์ที่เกิดความเครียดทำให้เซลล์มีความยืดหยุ่นและป้องกันการอักเสบและความเสียหายอื่น ๆ ต่อ DNAลดความเสียหายของโครงสร้างผิวหนังซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความอวบอิ่มและเปล่งประกายอ่อนเยาว์ทำให้คุณดูดีมีออร่าได้ดี
ด้านล่างนี้เป็นส่วนผสมของPhil เพียงบางส่วนหากคุณต้องการอ่านรายละเอียดเพิ่มเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์Phil กดที่นี่ …
น้ำนมอูฐ
น้ำนมอูฐ เป็นยาปฎิชีวนะทางธรรมชาติถูกใช้ในตำรับยาอายุรเวทรักษาโรคต่างๆ ในแถบตะวันออกกลางเป็นเวลานับพันปี และปัจจุบันถูกใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางราคาแพงในกลุ่มประเทศดังกล่าวด้วย น้ำนมอูฐ อุดมไปด้วยกรดแลคติค ธาตุเหล็ก วิตามินซีและวิตามินบี กรดไขมันในน้ำนมอูฐช่วยให้ความชุ่มชื้น อ่อนนุ่มอย่างล้ำลึกตามธรรมชาติในทันที และซ่อมแซมผิว ลดการเกิดภาวะเครียดที่เกิดจากออกซิเดชันและมีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่ไม่ใช่เสตียรอยด์ ต้านเชื้อจุลินทรีย์และแบคทีเรีย ทำให้ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวบนผิวหนัง
กรดแลคติคเป็นหนึ่งในวิธีรักษาตามธรรมชาติที่พบมากที่สุดสำหรับผิวที่เป็นสิวเนื่องจากช่วยปรับสมดุลค่า pH ของผิว ไม่ทำให้รูขุมขนอุดตัน การศึกษาแสดงให้เห็นว่ากรดแลคติคสามารถลดรอยแผลเป็นจากสิวและรอยดำบนผิวคล้ำอย่างมีนัยสำคัญเมื่อใช้เป็นระยะเวลานานอย่างน้อยสามเดือน
กรดแลคติคเป็นกรดอัลฟ่าไฮดรอกซีมีฤทธิ์ที่เป็นกลางช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วเป็นมิตรกับผู้ที่มีผิวอ่อนแอบอบบางแพ้ง่าย ทำให้เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวทุกวัย
สารสกัดจากสาหร่ายทะเลน้ำลึก
สาหร่ายสีน้ำตาลถูกใช้ในเวชสำอางพื้นฐานมายาวนาน สาหร่ายทะเลอุดมด้วยกรดไขมัน3 กรดอะมิโน รวมถึงแมกนีเซียม และวิตามินจำนวนมากเป็นเวชสำอางที่ช่วยส่งเสริมโครงสร้างผิวและให้ความยืดหยุ่นกับผิว ส่วนผสมที่ออกฤทธิ์ทางชีวภาพในสาหร่ายทะเลได้แก่ phlorotannins, polysaccharides sulphated polysaccharides, carotenoid pigments (fucoxanthin and astaxanthin), fucosterol และควบคุมปัจจัยการเกิดเม็ดสีในระยะขนย้ายขึ้นสู่ผิวชั้นบนสาหร่ายสีน้ำตาลเผยให้เห็นถึงประโยชน์หลากหลายด้านรวมถึงเกี่ยวข้องกับผิว ส่งเสริมความชุ่มชื้นและการล้างพิษเพิ่มเมตาบอลิซึมของเซลล์และซ่อมแซมดีเอ็นเอให้แข็งแรงและปรับสภาพผิว รักษาสมดุลการทำงานของต่อมไขมัน ต่อต้านอนุมูลอิสระ ต่อต้านการอักเสบ ต่อต้านเนื้องอก ต่อต้านการแพ้ รวมถึงบทบาทในการหยุดยั้งเนื้องอกของ hyaluronidase enzyme และต้านกิจกรรมMMPs
Fucosterol,phytosterolในสาหร่ายสีน้ำตาลยช่วยยับยั้งกิจกรรมของเอมไซม์ที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระมากขึ้น เช่น superoxide dismutatase, catalasexidant และ glutathione peroxidase มากกว่านั้น ยังทำให้ผิวนุ่มขึ้นด้วย
สาหร่ายทะเลที่มีการใช้ในเวชสำอางนั้นมีประโยชน์หลายอย่างในการป้องกันและรักษาโรคผิวหนังอักเสบ จึงถูกเป็นหนึ่งในส่วนผสมสำคัญที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเพื่อปกป้องผิวที่ถูกทำร้ายจากแสงแดด สาหร่ายทะเลเป็นแหล่งโปรตีนที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพ วิตามิน แร่ธาตุและแคโรทีนอยด์ใช้กันอย่างกว้างขวางในวงการเครื่องสำอางทั่วโลก
Glycyrrhiza Glabra (Licorice Root)
เป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้วที่มีการใช้รากชะเอมอย่างแพร่หลาย เด่นในการรักษาสภาพผิวหนังอักเสบต่างๆ เช่น กลาก, โรคสะเก็ดเงิน, ผื่นแพ้สัมผัส, ผื่นผิวหนังอักเสบจากต่อมไขมันในชั้นผิวหนัง , โรคสะเก็ดเงิน และอาการอื่น ๆ ที่มีอาการอักเสบและคัน สารสกัดจากรากชะเอมมีสารต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ระงับและบรรเทาอาการระคายเคืองอักเสบแดงของผิวที่มีประสิทธิภาพซึ่งสามารถต่อต้านอนุมูลอิสระจากสิ่งแวดล้อมภายนอก จากแสงแดดและ มลภาวะและแรงเครียดภายในผิว ควบคุมการผลิตน้ำมันส่วนเกินให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวแห้ง และ ช่วยลดการสร้างเม็ดสีที่มากเกินไปทำให้รอยดำลดเลือนลง ทำให้ผิวกระจ่างใส สารสกัดจากรากชะเอมเทศเป็นสารต้านอักเสบที่ปลอดสเตียรอยด์มีความอ่อนโยนสามารถใช้ได้แม้ผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย
Niacinamide :
VITAMIN C:
วิตามินซีที่อยู่ในรูปแบบอ่อนโยน ไม่มีความระคายเคือง และซึมซาบเข้าสู่ผิวได้เร็วมาก มีความสามารถในการลดเลือนจุดด่างดำ กระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจน พร้อมทั้งสามารถปกป้องผิวจากการถูกทำร้ายจากรังสี UV และสารอนุมูลอิสระด้วย
วิตามินซีช่วยเพิ่มการผลิตคอลลาเจนซึ่งมักจะหายไปจากแสงแดด วิตามินซีส่งเสริมการหมุนเวียนของเซลล์ที่ดีและฟื้นฟูซ่อมแซมความเสียหายผิวจากดวงอาทิตย์และอนุมูลอิสระ ซึ่งทำให้เกิดริ้วรอยและรอยเส้นเล็กๆที่ทำให้ดูแก่กว่าวัย และยังจำกัดการผลิตเมลนิน ทำให้รอยดำและจุดด่างดำบนผิวจางลงปรับสีผิวให้ดูสว่างมีออร่าขึ้นแข็งแรงขึ้น
ถึงแม้ว่าวิตามินซีจะไม่ใช่ครีมกันแดด แต่ก็เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันความเสียหาย ความเสื่อมแก่ของผิวจากรังสี UV ที่เกิดจากอนุมูลอิสระ วิตามินซีให้การปกป้องจากแสงแดดด้วยชั้นหนังแท้ที่หนาขึ้น และป้องกันอันตรายจากรังสี UV และแสงแดด อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่าวิตามินซีเซรั่มและมอยเจอร์ไรเซอร์เป็นครีมกันแดดหรือการทดแทน SPF วิตามินซีปกป้องผิวชั้นลึกของคุณเท่านั้นคุณยังต้องทาครีมกันแดดเมื่อสัมผัสแดด
Tocopherol:

จากการวิจัยมากมายยืนยันว่าวิตามินอี สามารถเร่งการสร้างเอนไซม์ในผิว ปกป้องอนุมูลอิสระ และเพิ่มความชุ่มชื้นในชั้นผิวได้ ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระให้แก่ผิว โดยวิตามินอีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในไขมันตามธรรมชาติ มันช่วยให้ความชุ่มชื้นและปรับสภาพผิวและเพิ่มการผลิตคอลลาเจนภายในผิวเมื่อคุณสามารถต่อสู้กับอนุมูลอิสระจากนั้นคุณสามารถช่วยลดริ้วรอยและทำให้ผิวของคุณดูอ่อนเยาว์และสดใส
